Thursday, 12 August 2010

เรื่องธรรมดาของรถ TAXI ที่ไม่ธรรมดา

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม ปี 1999 บริษัทจัดการประมูลที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก คือ Sotheby’s Auction House ได้เปิดประมูลรถ Checker Taxi รุ่น Classic A9 คันสุดท้ายที่วิ่งรับส่งผู้โดยสารชื่อ “Janie” ราคาสูงสุดที่มีผู้ประมูลไปคือ 134,500 ดอลล่าร์สหรัฐ (4,787,500 บาท) ไม่ธรรมดาเลยใช่ไหมครับสำหรับรถแท็กซี่เก่าๆ ที่วิ่งมาแล้ว 994,050 ไมล์ หรือเท่ากับวิ่งรอบโลกมาแล้ว 40 รอบ


เรื่องราวของรถแท็กซี่ Checker สีเหลืองสดที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองนิวยอร์ค สหรํฐอเมริกา เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1914 Morris Markin ชายหนุ่มผู้อพยพชาวรัสเซีย หนีความยากจนมาจากบ้านเกิด โดยเริ่มต้นได้รับจ้างตัดเย็บกางเกงขายาวโหลให้กับโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป ด้วยความมุมานะ Markin เก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง เขาได้ซื้อโรงงานประกอบรถแท็กซี่เก่าๆ ซึ่งผลิตแท็กซี่ให้กับบริษัท Checker ซึ่งอยู่ที่เมืองชิคาโก เขาได้เริ่มยุคใหม่ให้กับ Checker Taxi ด้วยการผลิตรถ Checker Model H2 ใช้เครื่องยนต์ BUDA 4 สูบที่เมือง Kalamazoo รัฐมิชิแกน ในปี 1922 ได้ปรับปรุงที่นั่งภายในให้สะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารมากขึ้น ทำให้ได้รับความนิยมใช้บริการมากขึ้น



หลังจากนั้นก็ได้ผลิตรถ Taxi Checker รุ่นอื่นๆ ตามมา คือ Model E ปี 1923-1924


Model F ปี 1925, Model K ปี 1928 ในช่วงเวลานั้น (ค.ศ.1928) เมืองนิวยอร์คซึ่งมีแท็กซี่ให้บริการประมาณ 21,000 คัน จะเป็นแท็กซี่ของ Checker เสียประมาณ 8,000 คันเลยทีเดียว

ปี 1929 Markin ได้ซื้อกิจการรถแท็กซี่ Yellow Cab จากบริษัทรถเช่า Hertz นำมารวมกับ Checker Cab และได้เปลี่ยนสีรถเป็นสีเหลืองและมีแถบคาดเป็นลายหมากรุกสีขาวดำข้างตัวถังตลอดมาจนปิดกิจการ Hertz เป็นบริษัทที่ใช้สีเหลืองสำหรับแท็กซี่เป็นบริษัทแรก โดยได้มีการทำศึกษาวิจัยพบว่า สีเหลืองเป็นสีที่ผู้ใช้บริการจะเห็นได้ชัดเจนที่สุด ปี 1929 ได้มีการเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์เป็นเครื่อง BUDA 6 สูบ 61.5 แรงม้า





ปี 1932 เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่อีกครั้งให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอีกเป็น 98 แรงม้า และได้ผลิตรุ่น Model T ยาวพิเศษ เปิดประตูได้ทั้งสองข้าง ครั้งแรกใช้สำหรับบรรทุกทีมนักฟุตบอล (American Football) ได้ทั้งทีม ซึ่งได้รับความนิยมมาก เรียกว่า Aerobus

จากนั้นก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงงานของ Checker หยุดผลิตแท็กซี่ชั่วคราว หันไปรับจ้างกองทัพผลิตรถ Jeep Willy สำหรับใช้ในราชการสงคราม


จนกระทั่งสงครามสงบ ก็ได้มีการออกแบบ Checker Taxi ขึ้นอีก 3 แบบคือ Model B, C และ D แต่ทั้งสามแบบไม่ผ่านการทำต้นแบบรถ Taxi Checker ยุคใหม่หลังสงครามที่ผ่านการทำต้นแบบคือรุ่น A2 ซึ่งมีห้องโดยสารสำหรับ 7 ที่นั่ง




ในช่วงปี 1950-1954 ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรุ่น A3 ถึง A7 รถยุคนี้จะมีพื้นรถในห้องโดยสารเรียบเสมอกันทั้งหมด ซึ่งทำให้ง่ายต่อการขึ้นลง และการทำความสะอาด มีการเปลี่ยนเป็น Model A8 อีกครั้งในปี 1958 จนมาถึง รุ่นที่ถือได้ว่าเป็นรุ่นคลาสสิคสำหรับรถ Taxi Checker (คันที่ประมูลได้ถึง 4 ล้านกว่านั่นไงครับ)

รุ่นนี้คือ Classic A9 รถ Checker รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ทุกคนที่นิวยอร์คหรือเมืองใหญ่ๆ ในอเมริการู้จักและจำได้ เพราะว่าส่วนหนึ่งนั้น มันเป็นแท็กซี่ที่ใช้ในภาพยนตร์เรื่องดังคือ “Taxi Driver” นั่นเองครับ



A9 เริ่มผลิตในปี 1960 รุ่นนี้มีที่นั่งพิเศษพับได้สำหรับผู้โดยสารคนที่ 8



จากนั้นรุ่น A10 ถึง A12 ก็ถูกปรับปรุงพัฒนาในรายละเอียด แต่ยังคงใช้บอดี้เดิม เช่น เปลี่ยน เครื่องยนต์เป็น 6 สูบ 3.7 ลิตร

A9 มีช่วงการผลิตที่ยาวนานมาก โดยผลิตอยู่ราวๆ 24 ปี โดยมีหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิม ยกเว้นการเปลี่ยนแปลงกันชนหน้าจากเหล็กชุบโครเมี่ยมวาววับเป็นอลูมิเนียมสีด้าน ในปี 1975 ซึ่งสามารถทนต่อการชนในระดับ 10 ไมล์/ชม. โดยไม่มีอะไรเสียหาย




หลังจาก Markin ผู้พ่อเสียชีวิตลงในปี 1970 David Markin ลูกชาย ก็ได้ดำเนินกิจการ Checker Taxi ต่อมา จนกระทั่งบริษัทได้ปิดตัวลงเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ปี 1982 หลังจากนั้นโรงงานของ Checker ได้เปลี่ยนไปผลิตรถพ่วงและโครงรถโดยสารของบริษัท General Motor จนกระทั่งปัจจุบัน
และนี่คือรถต้นแบบ Taxi ที่ออกแบบโดยสถาบัน New York City Cab Design Fuses ผสมผสานรถยุคปี 1950 ของ Checker กับยุคปัจจุบัน



สำหรับรถเหล็กจำลองของ Checker Taxi ก็มีผู้ผลิตหลายราย หลายขนาด เช่น ขนาด 1:34 ของ Hatotoy, 1:43 ของ IXO, 1:18 ของ Sun Star



1:64 ของ Matchbox



1:24 ของ Franklin Mint แม้กระทั่งรถยุคทศวรรษ 30 ของ Checker ก็ยังมีการผลิตออกมาเป็นรถสังกะสีครับ

No comments: