Showing posts with label Article. Show all posts
Showing posts with label Article. Show all posts

Friday, 18 March 2022

รถเหล็กของเล่นหรือรถเหล็กโมเดล

คุณแยกออกไหมว่ารถเหล็กคันไหนเป็นของเล่น หรือคันไหนเป็นโมเดล

เรามาลองแยกประเภทกันดีไหม?

จะได้รู้กันว่าใครสะสมของเล่น หรือรถโมเดล หรือใครสะสมทั้งสองอย่าง

พวกสะสมรถโมเดลก็มักจะบอกว่า เฮ้ย! นั่นมันของเล่น (ดูถูก

กลายๆ)

         พวกสะสมรถของเล่นก็มักจะบอกว่า มันมีรายละเอียดมากเกินไป ไม่มีอารมณ์ ไม่มีลูกเล่น (ไม่ได้หมายความว่า ลูกเอาไปเล่น)

         ในบทความนี้จะเรียกรถทั้งสองชนิดอย่างกลางๆว่า รถจำลอง

         สมัยก่อนไม่ต้องย้อนไปไกลครับ เอาสักประมาณ 50 ปีก็แล้วกัน หากเราต้องการซื้อของเล่น เราก็จะไปซื้อที่ร้านขายของเล่น และในขณะเดียวกันหากเราต้องการซื้อ รถจำลองเราก็จะที่ร้านขายของเล่นเช่นเดียวกัน

         แต่ปัจจุบันร้านขายของเล่น (ซึ่งมักจะอยู่ในห้าง ไม่ได้เป็นร้านอยู่ริมถนนอีกต่อไป เฉพาะใน กทม.นะครับ) กับร้านขายรถโมเดล มักจะแยกกันอย่างชัดเจนคือคือ ขายรถโมเดลอย่างเดียว ส่วนร้านขายรถของเล่นก็จะขายหลายๆ อย่าง รวมทั้งของเล่น บังคับวิทยุ ของเล่นพลาสติก ของเล่นเด็กผู้หญิง เด็กผู้ชาย ของเล่นเสริมทักษะ

         ทีนี้เราจะมาดูกันว่าเวลาที่เราจะใช้งานรถจำลองทั้งสองชนิดต่างกันอย่างไร

         รถของเล่นเวลาใช้งานเราก็จะเอามาลาก ไถ ดัน เข็น ครูด โยนเล่น ตามลูกเล่นของมัน เช่น รถถังก็จะเอาปืนของมันมายิงกัน บางทีก็เอามาขว้างใส่กัน (เวลาทะเลาะกันครับ)

         ด้วยเหตุนี้ของเล่นที่ผลิตมาจึงเหลือจำนวนไม่มากที่มีสภาพดี นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้รถจำลองที่เป็นรถของเล่นรุ่นเก่าๆ มีราคาสูงมาก


         ส่วนรถจำลองที่เป็นรถโมเดล เวลาเราจะใช้งาน เราก็แค่เอามาดู ปัดฝุ่น ลูบคลำ ดม(บางคน) เปิดประตู ปิดประตู สตาร์ทเครื่องยนต์ (อาจมีนะในอนาคต) เข้าไปนั่ง (อันนี้ใช้เฉพาะรถจำลองอัตราส่วน 1:1 ครับ) ทุกคนก็จะรักษารถโมเดลของตัวเองไว้อย่างดี จำนวนของมันก็จะหายไปไม่มาก มันก็จะแพงในตอนซื้อ และในอนาคตมันจะแพงขึ้นตามค่าของเงินที่มันแพงขึ้น และจำนวนคนที่มากขึ้น ความต้องการของที่หยุดผลิตแล้วก็มากขึ้น


         ทีนี้มาว่าถึงเทคนิคการออกแบบและการผลิตของรถจำลองทั้งสองประเภท และลักษณะสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมันมีลูกเล่นที่จะทำให้เล่นได้ เช่น รถถังก็จะทำให้ปืนใหญ่บนรถถังใช้ยิงได้ หรือรถ Matchbox ก็จะมีลูกเล่นที่ทำให้กลไกต่างๆ ที่ตัวรถทำงานได้ คือมีระบบ Rolamatics ที่จะทำให้ไฟสัญญาณหมุนได้ เรดาห์หมุนได้ ลูกสูบในเครื่องยนต์ขึ้นลงได้ ท่อไอเสียสั่นได้ รถเจมส์บอนด์ของ Corgi ที่จะมีกลไกต่างๆ ทำงานได้เหมือนรถจริงๆ ในภาพยนตร์ (รถเจมส์บอนด์รุ่นหลังๆ ที่ผลิตขึ้นมาจะไม่ค่อยมีลูกเล่นแบบนี้ แต่จะเน้นที่มีสัดส่วนรายละเอียดที่สวยงาม)


นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาระบบล้อหมุนให้มีความสนุกในการทำให้มันวิ่งเร็วขึ้น เช่น การริเริ่มเป็นคนแรกของล้อ Hot Wheels ของ Mattel ตามมาด้วยล้อ Superfast ของ Matchbox และล้อ Whizzwheels ของ Corgi


รถจำลองที่มีลักษณะเป็นของเล่นในสมัยก่อน การออกแบบมักจะมีรายละเอียด และชิ้นส่วนที่บอบบางจะถูกตัดออกไป เช่น โลโก้ที่อยู่บนหน้าหม้อน้ำของ Mercedes หรืออาจเป็นไปได้ว่าเทคนิคการผลิตในสมัยก่อนยังไม่ดีพอ การหล่อชิ้นส่วนเล็กๆ ทำไม่ได้ โลหะที่ใช้หล่ออาจเปราะบางหักง่าย เทคโนโลยีการทำแม่พิมพ์ไม่ก้าวหน้าพอ และที่สำคัญยังต้องใช้แรงคนในการประกอบตัวรถ พ่นสี และขั้นตอนการบรรจุหีบห่อ

     

                 


ในยุคนั้นรถของเล่นและรถโมเดลจะรวมอยู่ในประเภทเดียวกัน แยกไม่ออกชัดเจนนัก

ครั้นเมื่อเทคโนโลยีการผลิตมีความก้าวหน้าทันสมัยขึ้น การหล่อชิ้นส่วนต่างๆ ให้เล็กลง มีรายละเอียดคมชัดขึ้น จึงทำให้รถจำลองที่เป็นของเล่นค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นรถโมเดล ส่วนรถของเล่นที่ทำอย่างง่ายๆ ในสมัยก่อนก็ค่อยๆ เลิกผลิตไป และพฤติกรรมการเล่นของเด็กในปัจจุบันก็เปลี่ยนไป เช่น การเล่นเกมส์ออนไลน์ทางอินเตอร์เน็ต ดังนั้นกลุ่มที่เล่นรถโมเดลก็จะเป็นกลุ่มเด็กโตและผู้ใหญ่

ส่วนกลุ่มที่เล่นรถโมเดลซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเน้นรถที่มีขนาดใหญ่ มักจะเก็บรถที่มีขนาด 1:43 ขึ้นไป มีรายละเอียดที่เหมือนจริง แม้แต่วัสดุที่ใช้ทำรถ เช่น เบาะอาจทำจากหนังจริงๆ ขอบคิ้วต่างๆ บนตัวรถมีรายละเอียดชัดเจน และมักเป็นรถจำลองที่ผลิตขึ้นมาในยุคหลังๆ ที่มีเทคโนโลยีการผลิตเจริญก้าวหน้าขึ้นมามากแล้ว พ่อแม่ซื้อรถโมเดลมาก็จะไม่ให้ลูกเล่น ถึงให้ลูกเล่นก็จะเล่นไม่สนุก เพราะมันไม่มีอะไรที่ใช้เล่นได้ เช่น รถถังก็จะไม่มีปืนที่ใช้ยิงกระสุนไม้จิ้มฟันได้ สายพานยางที่รถก็จะทำให้รถวิ่งไม่ได้เร็ว มันเล่นไม่สนุก ก็คือต้องเอาไว้โชว์อย่างเดียว

สรุปแล้วไม่ว่าใครจะสะสมรถเหล็กประเภทไหนต่างก็มีเหตุผลของตัวเองเป็นความสุขส่วนตัวของแต่ละคน และขึ้นกับเงินในกระเป๋าของแต่ละบุคคลด้วยครับ (ข้อนี้สำคัญนะ ใครจะว่าไม่สำคัญ ขอเถียง!)

https://www.lazada.co.th/shop/toy2hand-shop


Wednesday, 16 March 2022

Porsche Spider 550 รถคู่ใจตลอดกาลของเจมส์ ดีน

       


 อุบัติเหตุรถยนต์ชนกันเมื่อวันที่ 30 กันยายน 1955 เวลา 17.45 น. ที่เมือง Bakersfild USA ทำให้เกิดเรื่องราว 2 เรื่องที่อยู่ในความทรงจำของชาวอเมริกันและผู้คนเกือบทั่วโลกคือ การเสียชีวิตของเจมส์ดีน ดาราภาพยนตร์ขวัญใจวัยรุ่นในยุค ’50 ด้วยวัยเพียง 24 ปี และกำลังมีชื่อเสียงจึงทำให้เขานั้นกลายเป็นดาราอมตะที่มีผู้คนยังจดจำได้จวบจนทุกวันนี้ และอีกเรื่องหนึ่งคือ ทำให้รถแข่ง Porsche Spider 550RS หมายเลข 130 คัน ที่เขาประสบอุบัติเหตุนั้นกลายเป็นรถที่โด่งดังและผู้คนจำได้ว่าเป็นรถของ เจมส์ ดีน (แต่อาจจะไม่รู้ว่าเป็นรถอะไรหรือรุ่นอะไร) เรามาทำความรู้จักกับเจมส์ ดีน ดาราอมตะผู้มีชื่อเสียงก้องโลก (ทั้งๆ ที่เขาแสดงภาพยนตร์ได้เพียง 3 เรื่องและอยู่ในวงการมาได้เพียง 4-5 ปีเท่านั้นเอง)


เจมส์ ดีน เกิดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ปี 1931 ที่เมือง Marion รัฐ Indiana USA ปี 1950 เข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ Monica City รัฐ California ในระหว่างเรียนก็ได้งานแสดงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกจากโฆษณาน้ำอัดลม Pepsi-Cola ด้วยความชื่นชอบและหลงใหลในอาชีพนักแสดง เขาได้ตัดสินใจลาออกมหาวิทยาลัยในปี 1951 จากนั้นก็เข้าสู่วงการแสดงเต็มตัว เขาได้แสดงละครเรื่อง The Immoralist และได้เข้าสู่วงการภาพยนตร์ TV ในปี 1952 ในเรื่อง “East OF Eden” ซึ่งดัดแปลงจากนิยายของจอห์น ไสตน์แบค ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar และภาพยนตร์อีก 2 เรื่องที่ทำให้เขามีชื่อเสียงมากขึ้นคือ ภาพยนตร์เรื่อง Rebel Without a Cause และภาพยนตร์เรื่อง Giant เจมส์ ดีนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสก้าร์ถึง 2 ครั้ง

         

นอกจากความสามารถในด้านการแสดงแล้ว เจมส์ ดีนมีความสามารถในการแข่งรถและเป็นผู่ที่รักการแข่งรถเป็นชีวิตจิตใจ ต้นปี 1955 หลังจากประสบความสำเร็จจากการแสดงภาพยนตร์เรื่อง East of Eden เขาก็เริ่มหันมาสนใจการแข่งรถอย่างจริงจังโดยเขาได้ซื้อรถแข่งคันแรกเป็นรถสปอร์ต MG TD ขนาดเครื่องยนต์ 1500 cc. สีแดง พร้อมๆ กับซื้อรถ Ford Country Squire Woodie Station Wagon สำหรับไว้ลากรถพ่วงซึ่งบรรทุกรถแข่ง 


     

รถ MG คันนี้ชนะการแข่งขัน Pacific Prestigious and Pasadena และยังลงแข่งขันที่สนาม Santa Barbara, California อีกด้วย 
ต่อมาอีกไม่นานในปีเดียวกัน เขาได้ซื้อรถ Porsche – Speedster (หมายเลขตัวถัง 82621) คันนี้เขาใช้แข่งชนะที่ 2 ในสนามที่ปาล์มสปริงเดือนมีนาคม 1955
  

ในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Rebel Without a Cause วันที่ 21 กันยายน 1955 เขาได้แลกซื้อ Posche 356 Speedster กับ Porsche 550 Spyder (ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นรถที่รู้จักกันทั่วโลกว่าเป็นรถของเจมส์ ดีน)


รถ Porsche 550 Syder ในสมัยปี ’50 นั้น จัดได้ว่าเป็นรถรุ่นสุดยอดที่เป็นรถในฝันของนักแข่งในยุคนั้น ผู้ออกแบบตัวถังคือ Erwin Komenda รถรุ่นนี้ผลิตขึ้นมาเพียง 78 คันทั่วโลกเท่านั้น 550 Spyder เป็นรถแข่งที่มีขนาดเล็ก ความยาว 141.75 นิ้ว กว้าง 51 นิ้ว สูง 40 นิ้ว น้ำหนักรถ 1480 ปอนด์ ความจุถังน้ำมัน 22 แกลลอน เครื่องยนต์ 4 สูบ 1490 cc. 110 แรงม้า ระบายความร้อนด้วยอากาศ ความเร็วสูงสุด 129 ไมล์/ชั่วโมง อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ ใช้เวลา 7.2 วินาที ตัวรถสีบรอนซ์เงิน เบาะสีแดง หมายเลขสองข้างประตูและบนฝากระโปรงหน้าหลังคือ หมายเลข 130 ที่ท้ายรถมีตัวอักษรระบุชื่อเล่นของรถคันนี้ว่า Little Bastard ชื่อนี้ Bill Hickman ซึ่งเป็นผู้ฝึกสอนทางด้านภาษาในภาพยนตร์เรื่อง Giant ที่เจมส์ ดีน กำลังแสดงอยู่ในช่วงนั้นเป็นผู้ตั้งให้ รถ Porsche 550 Spyder คันนี้ได้รับการปรับแต่งเพื่อใช้สำหรับแข่งขันโดย George Barris (ผู้ออกแบบรถในภาพยนตร์เรื่อง Batman)


หลังจากการซื้อ Little Bastard ได้ไม่กี่วัน ก็มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่ง เจมส์ ดีน พบกับ Alec Guinness (ปัจจุบันคือ Sir Alec Guinness) ที่หน้าภัตตาคารแห่งหนึ่ง หลังจากที่ดีนได้แนะนำตัวกับกินเนสซึ่งเป็นนักแสดงอาวุโสกว่า เขาก็ได้อวดรถ Little Bastard คันใหม่เอี่ยมกับกินเนส



กิน เนสหันไปมองที่รถอยู่ครู่หนึ่งพร้อมๆ กับเห็นลางร้ายที่เกิดขึ้นกับรถคันนี้ และได้กล่าวกับดีนว่า ถ้าคุณขับรถคันนี้ในช่วงนี้จนถึงสัปดาห์หน้า คุณจะพบกับความตาย (คำพูดนี้กินเนสพูดในวันที่ 23 กันยายน 1950) หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เช้าตรู่วันที่ 30 กันยายน ปี 1955 ดีนและช่างเครื่องของเขา Rolf Wutherich ได้เตรียมรถ Little Bastard เพื่อเข้าร่วมการแข่งรถที่ Salinas, California เดิมทีนั้นเขาตั้งใจที่จะนำรถแข่งไป Salinas โดยใช้ Ford Country ลากไปกับรถพ่วง และไปพร้อมกับช่างภาพชื่อ Stanford Roth เพื่อบันทึกภาพเบื้องหลังการแข่งขัน ประมาณ 10.00 น. พ่อและลุงของดีนมาเยี่ยมและกินข้าวเที่ยงด้วยกัน ประมาณ 13.00 น. ดีนตัดสินใจในนาทีสุดท้ายที่จะขับ Little Bastard ไปด้วยตนเอง ทั้งนี้เพื่อต้องการที่จะทำความคุ้นเคยกับรถที่เขาเพิ่งจะซื้อมาด้วยนั่นเอง

ประมาณ 15.45 น. หลังจากการตรวสอบความเรียบร้อยของรถแข่ง ดีนและช่างเครื่อง Wutherich ก็ออกเดินทางจาก Bakersfild

ประมาณ 17.45 น. ระหว่างที่ขับมาด้วยความเร็วสูง ประมาณ 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่แยกใกล้เมือง Cholame มี รถเก๋งฟอร์ดคันหนึ่งขับตัดทางแยกมาด้วยความเร็วสูงเช่นกัน ทั้งคู่ไม่สามารถควบคุมรถได้จึงประสานงากันอย่างแรง รถตกไปที่ข้างทาง ดีนเสียชีวิตในอีก 11 นาทีต่อมา คือเวลา 17.59 น. คำพูดสุดท้ายของเขาคือ “เขาควรจะหยุด....เขามองเห็นเรา”  Rolf Wutherich ช่างเครื่องบาดเจ็บสาหัสแต่รอดมาได้ แต่เขาก็มาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เช่นกันในปี 1981 ที่ประเทศเยอรมันนี


รถ Little Bastard พัง ยับเยินกลายเป็นซากรถและกลายเป็นรถอาถรรพ์ที่ไม่เพียงแต่ทำให้เจมส์ ดีน ดาราชื่อก้องโลกต้องเสียชีวิตเท่านั้น รถคันนี้ยังทำให้อีกหลายคนต้องได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในอีกหลายปีต่อมา

George Barris ซึ่งเป็นผู้ปรับแต่งรถแข่งคันนี้ เป็นผู้ที่ซื้อซากรถคันนี้เอาไว้ หลังจากโศกนาฎกรรมครั้งนี้ ตำรวจทางหลวง California Highway Patrol ได้ขอยืมซากรถคันนี้เพื่อไปใช้ในการรณรงค์การลดอุบัติเหตุบนทางหลวง ในช่วงปี 1958-1959 แต่ ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะมีอุปสรรคที่คาดไม่ถึงบ่อยครั้ง เช่น ซากรถได้เลื่อนไถลไปทับเด็กนักเรียนในระหว่างการขนย้ายที่โรงเรียนใน Sacramento และท้ายที่สุดในปี 1960 หลังจากที่ตำรวจทางหลวงแคลิฟอร์เนียส่งซากรถ Little Bastard กลับคืนให้เจ้าของคือ George Barris ที่ลอสแองเจลีส ซากรถคันนี้ก็ได้หายไปอย่างลึกลับไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลยจนปัจจุบัน



                                                                         
ทีนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องของรถเหล็กของ James Dean กันบ้างครับ ผมเข้าใจว่า Brumm แห่งอิตาลี ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผลิตรถเหล็กในประวัติศาสตร์ได้ผลิต Porsche 550RS (America 1954) เพื่อระลึกถึง James Dean โดยเฉพาะถึงแม้จะไม่ระบุไว้ที่กล่องหรือตัวรถ แต่การที่ตัวรถมีสีบรอนซ์เงิน หมายเลข 130 และข้อความ “Little Bastard” และเพลทหมายเลข 2Z77767 บนกระโปรงหลัง นั่นหมายถึงรถของเจมส์ดีนซึ่งเป็นพาหนะที่นำเขาไปสู่วาระสุดท้ายของชีวิตนั่นเอง

Brumm ผลิตรถเหล็กคันนี้ในอิตาลี ในปี 2006 เป็นหนึ่งในบริษัทรถเหล็กจำนวนไม่มากที่ยังคงผลิตในโรงงานดั้งเดิมของตัวเอง ซึ่งก่อตั้งมาตังแต่ปี 1970 โดยมีอัตราส่วน 1:43 ตัวรถยาว 8.7 ซม. กว้าง 3.5 ซม. สูง 2.2 ซม. ตัวรถสีบรอนซ์เงิน เบาะนั่งสีแดง เลียนแบบรถของเจมส์ดีนทุกรายละเอียด




ชิ้นส่วนส่วนใหญ่ทำด้วยโลหะ เช่น ใต้ท้องสีดำ ดุมล้อสีเงิน ล้อยางถอดได้ พวงมาลัยและคันเกียร์โครเมี่ยม
ครับนับเป็นรถเหล็กที่น่าสะสมอีกคันหนึ่ง เพราะมีเรื่องราวน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนๆ ของเจมส์ดีน ดาราอมตะที่โลกไม่เคยลืม สำหรับท่านที่สนใจรถเจมส์ดีนอยากมีไว้สะสม ไปที่ร้านผม toy2hand_shop ได้เลยครับ


           


Monday, 14 February 2022

รถเหล็กหนึ่งเดียวในโลกที่มีธงไตรรงค์


รถเหล็กหนึ่งเดียวในโลกที่มีธงไตรรงค์ของเราสกรีนลงบนตัวรถ นั่นคือรถแข่ง ERA (English Racing Automobiles)  ปี 1935 รถจริงคันนี้ถือเป็นรถประวัติศาสตร์เพราะเป็นรถแข่งที่ขับโดย พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช (พ.ศ.2457-2523) นักแข่งรถชาวไทย ผู้ชนะเลิศการแข่งรถกรังซ์ปรีดิ์ระหว่างชาติทั่วทวีปยุโรป 3 ปีซ้อน ระหว่างปี คศ.1936, 1937, 1938 จนได้รางวัลดาราทอง (BRDC Road Racing Gold Star) 

รถ ERA 1935 นี้พ่นสีฟ้าสดใส ภายหลังเรียกว่า สีฟ้าพีระ ในการแข่งขันสังกัดทีมหนูขาว รถในทีมมี 3 คัน ชื่อว่า โรมิลุส, รีมุส และคันหลังสุดชื่อ หนุมาน รถ ERA รุ่นนี้เป็นรถแข่งขนาด 1500 cc. ถือเป็นรถขนาดเบาวิ่งได้เร็วถึง 130 ไมล์/ชม

รถ ERA โรมิวรุส ชนะการแข่งขันครั้งแรกที่โมนาโค เมื่อวันที่ 11 เมษายน ปี พ.ศ.2479 พ.พีระได้รับการจารึกลงในประวัติศาสตร์วงการกีฬารถแข่งของโลก นับเป็นคนไทยและคนเอเชียคนแรกที่คว้าชัยชนะในการแข่งขันรถนานาชาติได้สำเร็จ



ที่นี้มาคุยเรื่องรถเหล็กของ ERA 1935 คันนี้กันบ้างนะครับ ดูเหมือนว่า Matchbox จะผลิตรถเหล็ก ERA 1935 เป็นรายแรกในปี 1986 ผลิตในอังกฤษ ความยาว 10.4 ซม. สีดำ หมายเลข 7 และสีฟ้า-เหลือง ซึ่งเป็นสีฟ้า พ.พีระ มีธงไตรรงค์ของเราสกรีนลงบนตัวรถด้านหน้าและด้านหลัง หมายเลขที่ประทับอยู่คือหมายเลข 4  และต่อมาสีฟ้าก็ได้ผลิตในประเทศ Macau (ภายใต้โปรตุเกส) ด้วย

ปัจจุบันผู้ผลิตอีกรายที่ยังผลิตรถแข่ง ERA คาดเหลืองที่มีธงไตรรงค์ประทับอยู่คือ SMTS อัตราส่วน 1:43 แต่เป็น ERA รุ่นปี 1939 ราคาประมาณ 100 ปอนด์ (รหัสสินค้า RLV 2A)

อันที่จริงมีรถจำนวนไม่กี่แบบเท่านั้นนะครับที่จะมีธงชาติสกรีนลงบนตัวรถ ที่เรามักจะเห็นบ่อยๆ ก็คือ รถ Mini ที่มีธงชาติอังกฤษบนหลังคา นอกจากนั้นก็มีรถที่ทำสถิติโลกด้านความเร็วบนพื้นโลก ก็จะมีธงชาติของผู้ทำสถิติ เช่นรถชุด Landspeed ของ Lledo



รถเหล็กที่มีธงชาติไทยอยู่บนตัวรถนั้นเท่าที่เห็นก็มีคันนี้แหละครับ ท่านใดที่มีรถเหล็กรุ่นอื่นๆ ที่มีธงชาติไทยอยู่บนรถ ก็เอามาอวดกันบ้างนะครับ 


Saturday, 12 February 2022

1958 Hongqi CA770 รถแห่งชาติคันแรกของจีน (แดง)


          รถแห่งชาติ หมายถึงรถที่ผลิตได้ในประเทศ 100%  รถแห่งชาติของจีนเริ่มต้นจากแผนพัฒนาประเทศ 5 ปีแรก (1950-1955) จีนวางแผนที่จะผลิตรถยนต์ด้วยตัวเองทั้งคันในประเทศ ในช่วงปี 1956 ก็ได้ผลิตรถบัสออกมาก่อน ต่อมาก็เริ่มผลิตรถยนต์นั่งจนประสบความสำเร็จในปี 1958 รถ Hongqi (แปลว่า ธงแดง) รุ่น CA770 เป็นรถลูกผสมระหว่าง 2 ค่ายยักษ์ใหญ่โลกเสรีและโลกคอมมิวนิสต์ คือ สหรัฐฯโดยมีพื้นฐานมาจากรถ Chrysler Imperial และค่ายโซเวียต ใช้ต้นแบบจากรถ ZIL

“CA770” เป็นชื่อรุ่นของ ธงแดง มีความหมายดังนี้

C หมายถึง China

A หมายถึง FAW (First Automobile Works คือชื่อโรงงานที่ผลิต)

7  ตัวแรก  เป็น Code Number ของรถ

7  ตัวที่สอง คือ มี 7 ที่นั่ง

0  คือ ชนิดของรถ (รถ Limo)

CA700 ใช้เครื่องยนต์แปดสูบ ขนาด 5700 ซีซี มีกำลัง 220 แรงม้า ใช้เกียร์อัตโนมัติสองสปีด รถหนัก 2.5 ตัน รถรุ่นนี้ได้ใช้เป็นรถทางการสำหรับผู้นำของจีนและบรรดาผู้นำของประเทศต่างๆ ที่มาเยือนจีน


ในปี 1965 นายกรัฐมนตรีจีน โจว เอิน ไหล ได้ปฎิเสธคำขอของประธานาธิบดีนิกสันที่จะนำรถยนต์มาเองในระหว่างการเยือนประเทศจีนเป็นครั้งแรก และเขาได้บอกกับนิกสันว่า ไม่ต้องกังวลเขาจะต้อนรับนิกสันด้วยรถยนต์ที่ดีที่สุดในโลกที่จีนสร้างขึ้นเอง ซึ่งก็คือ Hongqi CA770 คันนี้นั่นเอง



ท่านประธานเหมาผู้นำจีนในยุคนั้นได้ใช้รถรุ่นนี้เป็นรถประจำตำแหน่ง รวมทั้งได้ต้อนรับผู้นำประเทศต่างๆ อาทิ สตาลินแห่งโซเวียต รถคันนี้ได้รับใช้ผู้นำจีนมาเป็นระยะเวลายาวนานตั้งแต่ปี 1958-1983 และ คือ Hongqi CA770 คันสุดท้ายผลิตในปี 1983 รถรุ่นล่าสุดของ คือ Hongqi คือรุ่น Besturn ผู้นำจีนคนปัจจุบัน นายหง จิน เต่า ใช้รถ Audi A8 หุ้มเกราะเป็นรถประจำตำแหน่งครับ



ทีนี้มาว่ากันถึงเรื่องของรถเหล็กคันนี้ดีกว่าครับ รถเหล็ก คือ Hongqi CA770 ซื้อมาจากประเทศจีนระหว่างที่ผู้เขียนตระเวนถ่ายทำสารคดีให้กับสหประชาชาติ กลางวันเราก็ตระเวนถ่าย Footage พอตกกลางคืนก็ตระเวนหารถเหล็กกว่าจะได้คันนี้มา (เมื่อ 5-6 ปีก่อน) ต้องใช้เวลาไปดูเกือบครบทุกห้างในปักกิ่ง หายากมากครับ ถามพนักงานขายก็ไม่รู้เรื่อง (เพราะเราพูดอังกฤษ พนักงานพูดจีนครับ???) ผมตั้งโจทย์ไว้ว่าต้องเป็นรถเหล็ก Brand จีน และต้องผลิตในประเทศจีน และรถจริงต้องเป็น Brand จีนด้วย ปรากฏว่าได้รถเหล็ก Brand ฝรั่งคือ Kader Precistion Model รถจริง Brand จีน และแน่นอนเป็นรถคันเดียวที่รู้สึกดีที่ “Made in China”



รถเหล็กคันนี้มีอัตราส่วน 1:24 ความยาว 24.5 ซม. Kader Precistion Model, USA. ผลิตโดยได้รับอนุญาตจาก First Automobile Works ซึ่งเป็นผู้ผลิต Hongqi CA770 ในปี 199






ตัวรถสีดำ ฝากระโปรงหน้าเปิด-ปิดได้ มีเครื่องยนต์ภายใน ฝากระโปรงหลังเปิด-ปิดได้ มียางอะไหล่และแบตเตอรี่ภายใน ประตูรถเปิด-ปิดได้ทั้ง 4 บาน เบาะที่นั่งและเบาะอะไหล่ด้านหลังพับเก็บได้ บุกำมะหยี่เหมือนของจริง พวงมาลัยมีกลไกที่ทำให้ล้อหมุนเลี้ยวได้ ใต้ท้องมีรายละเอียดของช่วงล่าง เช่น แหนบ โช๊คอัพ ท่อไอเสียฯ รายละเอียดของรถเหล็กคันนี้ดีมากครับ แม้กระทั่งกระจกหลัง ยังมีม่านสีดำบางๆ กั้นเอาไว้ด้วยครับ เมื่อเทียบกับเทคนิคการผลิตเมื่อ 10 ปีก่อน ขอย้ำอีกครั้งครับว่า เป็นรถเหล็กคันเดียวที่รู้สึกดีที่มันถูกผลิตในประเทศจีนครับ

Friday, 26 November 2021

รถแห่งประวัติศาสตร์ในวันลอบสังหาร



นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา จอห์น เอฟ เคนเนดี้ เมื่อปี 1961  เหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลให้ไม่มีโรงงานผลิตโมเดลใดกล้าที่จะผลิตรถ Lincoln Continental X-100 ซึ่งเป็นรถคันที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกลอบสังหารนั่ง ออกมาเลย เหมือนกับเป็นอาถรรพ์หรือข้อต้องห้าม จนกระทั่ง 39 ปีต่อมา ในปี 1999 ผู้ผลิตรถโมเดลชื่อดัง Minichamps แห่งประเทศเยอรมันนีก็ได้ทำลายข้อห้ามนั้นลง



ผู้อ่านที่อายุเกิน 50 ปีขึ้นไป คงจะจำเหตุการณ์ช็อกโลกในครั้งนั้นได้ ส่วนผู้ที่อายุน้อยกว่านี้คงต้องเล่าให้ฟังสักนิดนึงนะครับ การลอบสังหารประธานาธิบดีหนุ่มที่มีชื่อเสียงและผู้คนรักใคร่ชอบพอมากที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐและของโลกเสรี เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 ระหว่างที่ท่านประธานาธิบดีนั่งรถเปิดประทุน Lincoln Continental X-100 ซึ่งสร้างเป็นพิเศษในปี 1961 บนถนนในเมืองดัลลัส ท่านถูกยิง 3 นัด โดยมือปืนที่ซ่อนตัวอยู่บนชั้น 6 ของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง มือปืนถุกจับได้ชื่อ Lee Harvey Oswald และในวันต่อมาเขาก็ถูกฆ่าโดยมือปืนแก๊งค์มาเฟียชื่อ Jack Ruby หลังจากนั้นก็ไม่เคยจับมือปืนคนอื่นๆ ได้เลย และ Oswald เป็นมือปืนคนเดียวที่ถูกจับได้และก็ไม่แน่ว่าจะเป็นฆาตกรตัวจริงหรือเปล่า เพราะตายเสียก่อนที่การสอบสวนจะเสร็จสิ้นลง ทั้งๆ ที่การสอบสวนและมุมยิงระบุว่ามีคนยิงมากกว่า 1 คน

  



สำหรับเรื่องที่น่าสนใจในแวดวงของผู้ที่สะสมรถจำลอง นั่นก็คือ รถที่ท่านประธานาธิบดีเคนเนดี้ใช้นั่งในวันที่ถูกลอบสังหาร รถคันนี้คือ Lincoln Continental X-100 ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ เช่นมีโทรศัพท์เคลื่อนที่บนรถถึง 2 เครื่อง (สมัยนั้นถือว่าสุดยอดแล้วครับ) ที่นั่งพิเศษของประธานาธิบดีซึ่งสามารถยกขึ้นลงได้ เพื่อให้ประชาชนเห็นท่านได้ชัดเจน ที่ยืนพร้อมมือจับส่วนหลังสำหรับตำรวจลับยืนคุ้มกัน 2 คน ไฟพิเศษสำหรับส่องสว่างในห้องโดยสาร แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น ได้มีการทำหลังคาโปร่งใสกันกระสุนขึ้นมาครอบและยางรถพิเศษ ถังน้ำมันที่ไม่มีการระเบิด เครื่องยนต์ใหม่มีกำลังมากขึ้น ระบบการสื่อสารปรับปรุงใหม่เพื่อป้องกันการลอบสังหาร รถคันนี้ได้ใช้ต่อมาในสมัยของประธานาธิบดีจอห์นสัน, นิกสัน และประธานาธิบดีคาร์เตอร์ และปลดประจำการในปี 1977

 





ทีนี้มาว่ากันถึงรถโมเดลคันนี้กันบ้าง รถจำลอง Lincoln Continental X-100 สร้างขึ้นในปี 1999 โดยบริษัท Paul’s Model Art ภายใต้ชื่อ Minichamps ผู้ผลิตรถจำลองที่มีชื่อมากบริษัทหนึ่ง อัตราส่วน 1:43 ความยาวตัวรถ 15 ซม. กว้าง 4.7 ซม. หนัก 440 กรัม (รวมกล่อง) มีรายละเอียดต่างๆ อยู่ในขั้นดีมาก (หนังสือ Model Collector ฉบับที่ 11 ปี 1999 ให้คะแนนสูงถึง 8.5 ทีเดียวครับ) แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ไม่มีรถจำลองคันไหนสมบูรณ์แบบไม่เว้นแม้แต่คันนี้ มีบางอย่างที่ไม่ค่อยถูกต้อง เช่น ไม่มีโคมไฟพิเศษที่อยู่ใกล้ๆ กับกระจกส่องข้างทั้งสองข้าง รายละเอียดที่กระจังหน้ารถน่าจะทำให้ดีกว่านี้ แต่อย่างไรก็ตาม นี่เป็นรถจำลองคันหนึ่งที่ได้บันทึกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของโลกเอาไว้ ถ้าประธานาธิบดีเคนเนดี้ไม่ถูกสังหารในรถคันนี้เราก็ไม่ทราบว่าประวัติศาสตร์ของโลกจะเปลี่ยนแปลงไปทางใดบ้าง รถโมเดลคันนี้จะถูกสร้างขึ้นมาให้เราได้ชื่นชมกันหรือไม่ และรถ 1964 Lincoln Continental “QUICK F/X” อาจจะไม่ได้สร้างขึ้น เพราะวัวยังไม่หาย คอกก็ยังจะไม่ถูกล้อม

Monday, 15 November 2021

Chitty Chitty Bang Bang หนังเด็กยอดนิยม/รถเหล็กยอดนิยม


          ดูรูปข้างบนนี้แล้วอย่าเข้าใจผิดนะครับว่า รถในหนังเรื่องนี้บินผ่านกรุงเทพมหานครของเรา รถในหนังไม่ได้บินผ่านครับ แต่รถเหล็กบินผ่านครับ อยู่ในกล่องบนเครื่อง Air Cargo เมื่อหลายปีมาแล้ว สมัยที่ยังไม่มีระบบการประมูลจาก Website เหมือนในปัจจุบัน เพื่อนนักสะสมชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของเมืองไทยที่รู้จักกับผู้เขียน ได้กรุณาประมูลให้จาก Vectis Model Aution ประเทศอังกฤษ ต้องขอขอบคุณไว้อีกครั้งหนึ่งครับ ที่ทำให้พวกได้มีโอกาสเห็นตัวจริงของรถเหล็กคันนี้


           Chitty Chitty Bang Bang ภาพยนตร์ที่ทำให้เกิดการผลิตรถเหล็กคันนี้ ใช้เวลาถ่ายทำ 1 ปีเต็มในอังกฤษ เมื่อปี 1967 และออกฉายในปี 1968 โดย วอลซ์ ดิสนีย์ สร้างจากนวนิยายของเอียน เฟลมมิงส์ ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่เขียนเรื่องเจมส์บอนด์ 007 นวนิยายเรื่องนี้ตีพิมพ์ในปี 1964 ผู้แสดงนำคือ ดิกซ์ แวนไดค์ เป็นเรื่องราวการผจญภัยของครอบครัว Potts ซึ่งลูกชายถูกแกงค์ขโมยเด็กลักพาตัวไปขายที่ฝรั่งเศส จึงต้องตามหาลูกชายกลับคืนมาโดยเร็วที่สุด ด้วยรถมหัศจรรย์ที่เหาะได้และแล่นในน้ำได้



               เวลาผ่านไปถึงกว่า 35 ปี ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังคงคว้าแชมป์หนังยอดนิยมสำหรับเด็ก ในปี 2003 จากการโหวตของพ่อแม่ผู้ปกครองและเด็กราว 8000 คน โดยการสำรวจของร้านเช่าวิดีโอ “Choices” ฮาเซล อาดิง โฆษกของร้านบอกว่า หนังเรื่องนี้มีครบทุกอย่าง ทั้งจินตนาการที่ตื่นเต้น ตัวละครน่าสนใจ เรื่องของความรัก การผจญภัยและมนตร์วิเศษ (หนังยอดนิยมอันดับที่ 2 จากการสำรวจครั้งนี้คือ E.T. the Extra-Terrestrial ครับ) ทำให้หนังเรื่อง Chitty Chitty Bang Bang คว้าแชมป์ไปในที่สุด



          ตัวเอกในหนังเรื่องนี้น่าจะเป็น รถมหัศจรรย์ ที่ไปได้ทุกหนทุกแห่ง มีรูปร่างและสีสันสวยงามมาก มันมีปีกสำหรับเหาะได้ ส่วนท้ายของรถมีลักษณะเหมือนเรือทำให้แล่นในน้ำได้ รถคันนี้ออกแบบย้อนยุคโดยผสมผสานจากรถที่ผลิตจริงประมาณปี 1910 


          ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนอย่างหนึ่งคือ แตรของรถในหนังเรื่องนี้เคยใช้ในรถของ Mercedes Benz ปี 1913 ที่มีแตรรถเป็นรูปมังกร (ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของ Benz ในเยอรมัน) และรถ Rolls Royce ปี 1914 Wood Body เหมือนกันที่ส่วนท้ายที่มีรูปร่างคล้ายเรือและแตรรูปร่างเป็นงู


               ในปีเดียวกันกับที่ภาพยนตร์ออกฉาย (1968) Corgi ผู้ผลิตรถเหล็กชั้นนำของอังกฤษได้นำรถจากหนัง Chitty Chitty Bang Bang มาผลิตเป็นรถเหล็ก ความยาว 16 ซม. ด้วยวัสดุที่มีคุณภาพดี มีสีสัน สัดส่วนและรายละเอียดสวยงาม ชิ้นส่วนส่วนใหญ่ทำด้วยโลหะ, ไฟหน้าคริสตัล, ซี่ล้อโลหะ มีกลไกพับเก็บปีกใหญ่ทั้งสองข้าง โดยใช้ก้านเบรกมือของรถเป็นตัวบังคับ นอกจากนี้ยังมีฟิกเกอร์จากภาพยนตร์อยู่บนรถลงสีด้วยมืออยู่บนรถเหมือนกับภาพบนใบปิดหนังเรื่องนี้ด้วย ด้วยความสวยงามและผลิตด้วยวัสดุชั้นยอดและการผลิตจำนวนไม่มากนัก ทำให้รถเหล็กจาก Chitty Chitty Bang Bang ได้รับความนิยมมาก และซื้อหากันด้วยราคาสูงมากในปัจจุบัน ถือเป็นรถเหล็กระดับตำนานคันหนึ่งทีเดียวครับ









               เวลาผ่านไปเกือบ 40 ปี ภาพยนตร์ Chitty Chitty Bang Bang ก็ยังคงอยู่ในหัวใจเด็กอยู่เสมอ และรถเหล็กจากภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังคงอยู่ในใจของผู้ใหญ่ (ที่มีหัวใจเด็ก) ตลอดไปเช่นกัน